มือใหม่ ลงทุนคริปโตยังไง ให้รอด
คริปโตเคอเรนซี่ ถือเป็นสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น เหรียญใหญ่ ๆ อย่าง Bitcoin, Ethereum, Tether หรือ เหรียญมีมน้องหมาอย่าง Shiba Inu การลงทุนในเหรียญคริปโตเหล่านี้ มีปัจจัยความเสี่ยงอยู่มาก หากผู้ลงทุนไม่ศึกษารายละเอียดให้ดีพอ ดังนั้น วันนี้เราจะมาแนะนำ มือใหม่ ว่าจะ ลงทุนคริปโตยังไง ให้รอด กันครับ
มือใหม่ ลงทุนคริปโตยังไง ให้รอด
ขึ้นชื่อว่าการลงทุนนั้น ย่อมมีความเสี่ยงอยู่เสมอ โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนต่างก็บอกเหมือนกันว่า การลงทุนใน เหรียญคริปโต นั้น มีความเสี่ยงสูง ดังนั้น ผู้ที่คิดจะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ โดยเฉพาะ มือใหม่ ที่คิดจะลงทุนแล้วล่ะก็ ควรทำความเข้าใจพื้นฐานต่าง ๆ ที่ bloggonsite ได้รวบรวมข้อมูลมาให้ดังนี้
1. เงินลงทุนที่เป็นเงินเย็น
แน่นอนครับ ในเมื่อเราคิดจะลงทุนแล้ว อันดับแรกเลย เราก็ต้องมีเงินลงทุนก่อน ซึ่งเงินที่เราจะใช้ในการลงทุนคริปโตนี้จะต้องเป็น “เงินเย็น” (เงินที่เราคาดว่าเราพร้อมจะสูญเสียได้ และ ไม่ทำให้การเงินของเราติดขัด)
เนื่องจากตลาดคริปโตนั้น มีความผันผวนที่สูง ราคาขึ้น-ลงเร็ว เนื่องจากมีปัจจัยจากหลายสาเหตุ ซึ่งบางครั้งหากเราทำการซื้อหรือเก็งกำไรผิดช่วง ผิดเวลา ก็อาจจะทำให้สูญเสียเงินได้ในพริบตา
ดังนั้น เงินเย็นที่พูดถึงนี้อาจจะคิดเป็นจำนวน 1-5% ของเงินสดที่เรามี และ เราพร้อมที่จะนำเงินก้อนนี้มาลงทุน หากเราต้องสูญเสียไปทั้งหมดก็จะไม่ทำให้เราขาดสภาพคล่องทางการเงินได้
2. เลือกแพลตฟอร์มที่เราจะลงทุน
ปัจจุบันแพลตฟอร์มการลงทุนในคริปโต หรือ ที่เราเรียกกันว่า Exchange (ตลาดซื้อ-ขาย-แลก-เปลี่ยนคริปโต) นั้น มีอยู่มากมายทั้งในไทย และ ต่างประเทศ รวมแล้วกว่า 500 ราย อย่างในประเทศไทยที่รู้จัก และ เป็นที่นิยมใช้งานกันมากก็คงต้องเป็น Bitkub (บิทคับ) เพราะที่นี่สามารถฝากเงินขั้นต่ำแค่เพียง 40 บาท ก็สามารุถลงทุนซื้อเหรียญคริปโตได้แล้ว ส่วน Exchange ต่างประเทศที่เป็นที่นิยมก็ได้แก่ Binance (ไบแนนซ์) เพื่อน ๆ ก็ลองเลือกสมัครใช้งาน Exchange ซักเจ้านึง เพื่อที่เราจะได้มีแพลตฟอร์มเอาไว้ลงทุนคริปโตนั่นเอง
>>> สมัคร Bitkub (บิทคับ) เลย <<<
>>> สมัคร Binance (ไบแนนซ์) ตอนนี้ <<<
3. ศึกษา White Paper ของเหรียญนั้น ๆ ก่อนการลงทุนเสมอ
White Paper (ไวท์ เปเปอร์ หรือ กระดาษสีขาว) เป็นเอกสารที่ทางผู้จัดสร้างเหรียญนั้น ได้ระบุถึงรายละเอียดข้อมูลทั้งหมดของเหรียญ ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างพื้นฐานของเหรียญว่า เหรียญนั้นได้สร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ทีมงานผู้สร้างเป็นใคร มีจำนวนเท่าไหร่ ฟังก์ชั่นการใช้งานเป็นอย่างไร และ อนาคตจะมีโครงการอะไรที่จะทำเพื่อเพิ่มมูลค่าของเหรียญได้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนั้นมีผลต่อมูลค่าของเหรียญทั้งสิ้น ดังนั้นเราควรที่จะศึกษา White Paper ของเหรียญที่เราจะลงทุนทุกครั้งเป็นต้นๆเลย
4. ลงทุนในจำนวนเงินที่น้อยๆก่อน
เนื่องจากว่า เราเป็นมือใหม่ และ ยังไม่มีประสบการณ์การลงทุนในด้านนี้มาก่อน ดังนั้นเราควรจะเริ่มลงทุนด้วยจำนวนเงินที่น้อยๆก่อน เพื่อเป็นการศึกษารูปแบบการใช้งานของแพลตฟอร์มที่เราใช้อยู่ว่า การซื้อ-ขาย-ฝาก-ถอน หรือ โอนเหรียญ ต้องทำยังไง รวมถึงทดลองใช้ฟังก์ชั่นต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มที่เราใช้งานอยู่ เนื่องจากเราต้องทำเองทั้งหมด ดังนั้นเราควรที่จะฝึกทดลองใช้งานในส่วนต่าง ๆ ให้เข้าใจเสียก่อน
5. ลงทุนในเหรียญใหญ่ ๆ ดีกว่าเหรียญเล็ก ๆ ที่เป็นกระแส

จากข้อมูลของ CoinMarketCap ล่าสุด (1ส.ค.2565) ตลาดคริปโตนั้น มีจำนวนสกุลเงินคริปโตอยู่ทั้งหมด 20,404 สกุลเงิน และ มี Exchange อยู่ทั้งหมด 500 ราย
ดังนั้นการเลือกลงทุนในคริปโต เราจะเลือกยังไงว่าเหรียญไหนจะปัง หรือ เหรียญไหนจะร่วง ผู้เชี่ยวชาญสกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่จะแนะนำให้นักลงทุน โดยเฉพาะมือใหม่ ให้เลือกลงทุนเหรียญใหญ่ ๆ เช่น Bitcoin, Ethereum, USDT หรือ รายชื่ออันดับ 1-10 บน CoinMarketCap เอาไว้ก่อน ดีกว่าที่จะไปเลือกเหรียญเล็ก ๆ ที่กำลังเป็นกระแส
เหรียญใหญ่ กับ เหรียญเล็กที่เป็นกระแส ต่างกันอย่างไร?
เหรียญใหญ่ เช่น Bitcoin (BTC) หรือ Ethereum (ETH) 2 เหรียญนี้ ถือเป็นพี่ใหญ่แห่งวงการคริปโต เนื่องจากมีมูลค่าตลาดที่ใหญ่เป็น อันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ เหตุผลก็เนื่องจากมันได้รับความนิยมของนักลงทุนทั้งรายใหญ่จากหลายสถาบัน และ นักลงทุนรายย่อยต่าง ๆ ทำให้มี Demand (ความต้องการ) ที่มากกว่า Supply (ปริมาณของเหรียญที่จำกัด) จึงทำให้มีโอกาสที่เหรียญนั้น จะมีราคาที่สูงขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
เหรียญเล็ก (เหรียญที่เป็นกระแส) ปัจจุบันมีผู้สร้างเหรียญคริปโตอยู่มากมาย หลากหลายโครงการ ทำให้มีการสร้างเหรียญเล็กๆ หรือ เหรียญน้องใหม่ ออกมาในทุก ๆ วัน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้สร้างนั่นเอง เหรียญบางเหรียญอาจจะมีโครงการที่ดี ตามเอกสารชี้แจงใน White Paper แต่ ตามความเป็นจริงกับทำไม่ได้อย่างที่แจ้งไว้ จึงทำให้หลาย ๆ เหรียญไปไม่รอด ในที่สุดก็ปิดตัวไป นี่ยังไม่รวมถึงการ Rug Pull (การหลอกเอาเงินจากนักลงทุน พอเหรียญมีราคาที่ผู้สร้างต้องการ ก็ทำการเทขายทั้งหมด ทำให้ราคาเหรียญลดลง จนมีมูลค่าเหลือศูนย์ในพริบตา)
กรณี Rug Pull อย่างเช่นเหรียญ SQUID เหรียญโทเคนที่กลายเป็นกระแสจากซีรียส์ดังเกาหลี Squid Game โตขึ้น 86,000% ภายในอาทิตย์เดียว ซึ่งเมื่อ 1 พ.ย. 2564 ราคาของมันได้ปรับตัวลงมาจาก 628 ดอลลาร์ (ประมาณ 20,700 บาท) ลงมาอยู่ที่ 0.0008 ดอลลาร์ (0.0264 บาท) ภายในระยเวลาไม่ถึงนาที
6. การกระจายความเสี่ยง
“อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” เพราะถ้าตะกร้าใบนั้นได้รับความเสียหายไข่ทั้งหมดก็อาจจะแตกทั้งหมดด้วย ดังนั้น เราควรที่จะนำไข่ที่เรามีแยกเอาไว้ในหลาย ๆ ตะกร้า เพราะถ้าหากตะกร้าใบใบใดเสียหาย เราก็จะเสียไข่เฉพาะตะกร้าใบนั้น แต่ เรายังมีไข่ในตะกร้าใบอื่น ๆ อยู่อีก
การลงทุนในคริปโตก็เช่นกัน เราไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปซื้อเหรียญใดเหรียญหนึ่ง แต่เราควรที่จะนำเงินทั้งหมดมากระจายความเสี่ยง (จัดพอร์ตการลงทุน) เช่น เรามีเงินเย็นอยู่ 100 บาท เราจะซื้อเหรียญทั้งหมด 5 เหรียญ เท่ากับว่า เราใช้เงินซื้อเหรียญนั้นๆ เพียงเหรียญละ 20 บาท เพราะถ้าหากว่า เหรียญใดเหรียญหนึ่งราคามันลงไปมากๆ หรือ เหลือเท่ากับศูนย์บาท (ในขณะที่อีก 4 เหรียญของเรามีราคาเท่าเดิม เท่ากับตอนที่เราซื้อ) เราก็ยังเหลือเงินในเหรียญอื่น ๆ อีก 80 บาท จากเงินลงทุนทั้งหมด 100 บาท
7. ลงทุนระยะยาวแบบ DCA
นักลงทุนคริปโตส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนที่เก็งกำไรในระยะสั้น ซึ่งหากเหรียญที่ถืออยู่มีมูลค่าที่สูงขึ้นก็จะขายเพื่อทำกำไรทันที แต่! ยังมีนักลงทุนอีกจำนวนไม่น้อยที่เก็งกำไรระยะยาว โดยจะไม่ขายออกไป ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง พวกเขาเหล่านี้ก็จะซื้อเหรียญเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับเป็นการออมเงินในรูปแบบหนึ่ง ที่เรียกกันว่า DCA (Dollar-Cost Averaging)
ตัวอย่างการ DCA
สมมุติว่าเราเป็นพนักงานเงินเดือน และ ทุกๆเดือน เราจะมีเงินเหลือเพื่อที่จะลงทุนในเหรียญ Bitcoin เดือนละ 100 บาท ดังนั้นทุกสิ้นเดือน พอเงินเดือนเราออก เราก็จะซื้อ BTC 100 บาท ไม่ว่าราคาของมันจะขึ้นหรือลง เราทำเช่นนี้ทุกเดือนจนครบ 1 ปี เท่ากับว่าเราลงทุนใน Bitcoin ปีละ 1,200 บาท ซึ่งการออมแบบนี้แหล่ะ ที่เรียกว่า DCA ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นการเฉลี่ยซื้อ Bitcoin ในราคาที่ถูกและแพง เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องเทคนิคการอ่านกราฟราคา และ ยังไม่ต้องมานั่งกังวลว่าเราจะซื้อถูกหรือแพงอีกด้วย ส่วนที่เป็นข้อดีอีกอย่างก็คือ เป็นการสร้างวินัยในการออมนั่นเอง

มีผู้คนจำนวนมากที่ใช้วิธี DCA และ เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ ปี ทำให้เค้ามีเงินจำนวนมากกว่าที่ลงทุนแบบคาดไม่ถึง เพราะราคาเหรียญที่เค้าลงทุนนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ดังตัวอย่าง หากซื้อ Bitcoin 2 ปี เริ่มต้นปี 2019 ซึ่งราคาตอนนั้นอยู่ที่ 3,500 ดอลลาร์ พอปลายปี 2021 ราคาอยู่ที่ 65,000 ดอลลาร์ หากเราลงทุนแบบ DCA เดือนละ 1,000 บาท 2 ปี เราซื้อ BTC ไป 24,000 บาท เราขายตอนปลายปี 2021 เราจะได้เงินทั้งหมดถึง 2 แสนบาท กำไรเน้นๆ กว่า 1 แสนเจ็ดหมื่นบาท นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดจากวินัยการออมของเราเอง
สรุปส่งท้าย
ข้อมูลที่อยู่หน้าเว็บไซต์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเสนอโดยตรง หรือ การชักชวนของข้อเสนอในการซื้อหรือขาย หรือคำแนะนำหรือการรับรองผลิตภัณฑ์ บริการ หรือบริษัทใดๆ ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการลงทุน ภาษี กฎหมายหรือการบัญชี ทั้งบริษัทและ ผู้เขียนจะไม่รับผิดชอบไม่ว่าโดยตรง หรือ โดยอ้อมสำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดขึ้น หรือ ถูกกล่าวหาว่าเกิดจาก หรือ เกี่ยวข้องกับการใช้หรือพึ่งพาเนื้อหา สินค้า หรือบริการใด ๆ ที่กล่าวถึงในบทความนี้
Leave a Comment